27/6/53

ประวัติส่วนตัวของ YAM



ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาว วีรนุช ธารีมนต์
ชื่อเล่น แยม
เกิดวันที่ 06/10/34
ศาสนา พุทธ
สัญชาติ ไทย
สถานศึกษา Thonburi Vocational College
สาขาวิชา Computer Graphic
ชอบสี แดง (แต่ไม่เข้าข้างใคร)
นักร้องที่ชอบ ELVIS PRESLEY
ชอบรถ เต่า(Volkswagen)
รักครอบครัว

ประวัติรถเต่า volkswagen








โฟล์คเต่ามีขึ้นเมื่อ 22 มิถุนายน 1934 เมื่อคณะกรรมการสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์แห่งชาติเยอรมนี หรือ RDA-REICHSVERBAND DER DEUTSCHEN AUTOMOBILINDUSTRIE ได้มอบหมายให้ดร.เฟอร์ดินัน พอร์ชออกแบบรถยนต์ของประชาชน (PEOPLE’S CAR) ซึ่งในภาษาเยอรมันเรียกว่า VOLKSWAGEN นั่นเอง
โฟล์คเต่ารุ่นต้นแบบคันแรกเสร็จสิ้นการพัฒนาเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 1936 มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบทอร์ชันบาร์ ระบบเบรกเป็นแบบกลไกก้านบังคับ ไม่ใช่ระบบไฮดรอลิกเหมือนรถยนต์ปัจจุบัน และที่เครื่องยนต์มีการติดตั้งยางแท่นเครื่อง ซี่งหลายคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดยางแท่นเครื่อง ตัวเครื่องยนต์เป็นแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ มีให้เลือกทั้งแบบ 2 จังหวะ และ 4 จังหวะ ที่มีกำลังสูงสุด 22.5 แรงม้า (HP)
ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 1936 รุ่นต้นแบบหรือ V3 (ซึ่งมีการผลิตออกมา 3 คัน) ถูกนำมาทดสอบด้วยการแล่นเป็นระยะทางกว่า 50,000 กิโลเมตร ก่อนมีการทดสอบต่อเนื่องภายใต้รหัสโครงการ VVW30 และหลังจากนั้นไม่นานคณะกรรมการก็เห็นชอบในเรื่องเครื่องยนต์ หลังจากถกเถียงกันอยู่นานก็มาลงตัวที่บล็อก 4 สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการพัฒนาจะมีขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 แต่กว่าที่โฟล์คเต่า จะได้รับการผลิตเพื่อจำหน่ายสู่ตลาดต้องรอกันจนถึงเดือนธันวาคม 1945 หรือหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง โดยในเดือนนั้นมีการผลิตออกมาเพียง 55 คันเท่านั้น
ในปี 1947 จึงมีการผลิตเวอร์ชั่นส่งออกในเดือนสิงหาคม โดยบริษัท PON BROTHERS กลายเป็นผู้แทนจำหน่ายของโฟล์คสวาเกนในเนเธอร์แลนด์และนำเข้าโฟล์คเต่าจำนวน 56 คัน เข้าไปทำตลาด จากนั้นอีก 1 ปี จึงเริ่มขยายตัวออกสู่ตลาดประเทศอื่น เช่น เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ม สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปที่สหรัฐอเมริกาในวันที่ 8 มกราคม 1949
รุ่นเปิดประทุนของโฟล์คเต่ามีขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 1949 โดยคาร์มานน์เป็นผู้รับผิดชอบในการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา
ความจริงแล้วโครงการผลิ
ตรุ่นเปิดประทุนของโฟล์คเต่ามีมาตั้งแต่ปี 1948 ในยุคที่มีไฮน์ริช นอร์ดฮอฟฟ์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงานโฟล์คสวาเกน ซึ่งเขาเป็นผู้ปรับปรุงระบบการผลิต และเป็นคนที่เอ่ยประโยคอมตะ “THE BEETLE HAS AS MANY FAULT AS A DOG HAS FLEAS” ที่แสดงให้เห็นถึงรอยรั่วของระบบการผลิต ซึ่งมีมากเหมือนกับหมัด-เห็บบนตัวสุนัข
นอร์ดฮอฟฟ์ใช้เวลานานในการคิดหาทางออกเพื่อกระตุ้นให้ยอดจำหน่ายของโฟล์คเต่ามีมากขึ้นและในปี 1948 เขาได้ว่าจ้าง JOSEPH HEBMULLER COMPANY ผลิตรุ่นต้นแบบของโฟล์คเต่าเปิดประทุนออกมา 3 คัน โดยมีข้อบังคับว่าจะต้องใช้ชิ้นส่วนของรุ่นแฮทช์แบ็ก (หรือในเอกสารของโฟล์คสวาเกนเรียกว่า SEDAN) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
JOSEPH HEBMELLER ได้รับโอกาสในการผลิตโฟล์คเต่าเปิดประทุนในเวอร์ชั่นหรูพร้อมกับตกแต่งรายละเอียดภายในอย่างสุดบรรเจิด ซึ่งสวนกับหลักการพื้นฐานของตัวรถ ขณะที่คาร์มานได้รับงานผลิตแบบยกล็อตสำหรับคนทั่วไป ผลที่ได้คือตลอด 4 ปี ที่ทำตลาด เวอร์ชั่นเปิดประทุนของ JOSEPH HEBMULLER ผลิตขายได้เพียง 696 คัน เท่านั้น
โฟล์คเต่ากลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ รถขายดีเหมือนแจกฟรี ในปี 1950 ทำยอดผลิตครบ 100,000 คัน และเพิ่มเป็น 250,000 คัน ในปี 1951 ซึ่งเป็นตัวเลขของยอดการผลิตพุ่งพรวดสวนทางกับวัตถุดิบที่มีอยู่ในตลาด จนทำให้ต้องหยุดการผลิต และลดชั่วโมงทำงานลงชั่วคราว แต่ถึงกระนั้นในปี 1952 ยอดผลิตต่อปีของโฟล์คเต่าก็เกิน 100,000 คันเป็นครั้งแรก และในปี 1953 ก็ฉลองครบ 5 แสน คัน โดยที่ในช่วงเวลานั้น โฟล์คเต่าครองส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์นั่งของเยอรมันตะวันตกใน(ตอนนั้น) ถึง 42.5%
ในปี 1955 ตัวเลขการผลิตครบ 1ล้านคัน และในปี 1967 ฉลองการผลิตครบ 10 ล้านคัน โดยมีโรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่งในเยอรมนี คือ เมืองฮันโนเวอร์ คาสเซล บรันสวิค เอมเดน และล่าสุดคือโวล์ฟบวร์ก
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1972 เป็นวันที่ปวงชนชาวโฟล์คสวาเกนไม่มีวันลืม เพราะยอดการผลิตของโฟล์คเต่าอยู่ที่ 15,007,034 คัน ซึ่งเท่ากับว่าสามารถแซงหน้า สถิติเดิมของ ฟอร์ด โมเดล ทีได้สำเร็จ ทำให้โฟล์คเต่ากลายเป็นรถยนต์ที่มียอดผลิตสูงสุดในโลก (ก่อนที่จะโดนรุ่นกอล์ฟแซงในปี 2002)
จุดสิ้นสุดแห่งยุคโฟล์คเต่าสำหรับตลาดยุโรปเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 เมื่อโฟล์คสวาเกนเปิดตัวรถยนต์รุ่นกอล์ฟออกมา ซึ่งทำให้ลูกค้าในยุโรปเริ่มหันไปสนใจกับผู้มาใหม่รุ่นนี้กันมากขึ้น จนทำให้โฟล์คสวาเกนตัดสินใจยุติการผลิตของโรงงานโวล์ฟบวร์ก ในปี 1974 และเอมเดนในปี 1978 โดยโฟล์คเต่าคันสุดท้ายที่ผลิตในเอมเดนเมื่อวันที่ 19 มกราคม ถูกส่งเข้าไปเก็บในพิพิธภัณฑ์เมืองโวล์ฟบวร์ก
ส่วนรุ่นเปิดประทุนคันสุดท้ายออกจากสายการผลิตของโรงงานคาร์มาน
น์ในออสนาบรักเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1979 รวมแล้วรุ่นเปิดประทุนถูกผลิตออกสู่ตลาด 330,281 คัน
แม้ว่าในยุโรปจะเลิก แต่โรงงานในเม็กซิโกที่เริ่มเดินเครื่องมาตั้งแต่ปี 1965 ก็ยังทำหน้าที่ผลิตต่อไปและวันที่ 15 พฤษภาคม 1981 ฉลองการผลิตครบ 20 ล้านคันที่โรงงานแห่งนี้
อย่างไรก็ตามในวันที่ 31 กรกฎาคม 2003 ถือเป็นอีกวันที่บีทเทิลมาเนียต้องจดจำเพราะว่าจะเป็นวันสุดท้ายของการผลิตโฟล์คเต่าที่โรงงานในเมือง PUEBLA เม็กซิโก ซึ่งเป็นโรงงานแห่งเดียวที่ยังผลิตอยู่
แต่ก่อนที่จะจากกันโฟล์คสวาเกนก็ผลิตเวอร์ชันพิเศษออกมาเรียกเงินในกระเป๋าลูกค้าด้วยเวอร์ชันULTIMA EDICION กับสีตัวถัง 2 แบบ คือ เบจและฟ้า ด้วยจำนวนการผลิตจำกัดเพียง 3,000 คัน เท่านั้น




ประวัติ ELVIS PRESLEY







ประวัติ เอลวิส แอรอน เพรสลีย์ เกิดวันที่ 8 มกราคม 2478 หากเอลวิสมีชีวิตอยู่ปี 2549 นี้เขาจะมีอายุ 71 ปี
ย้อนกลับไปในปี 2496 เมื่อหนุ่มคนงานคนหนึ่งจาก Parker MachinistsShop เข้าไปใน Memphis Recording Service ช่วงพักกลางวันเพื่ออัดเสียงเพลงสองเพลง เป็นของขวัญย้อนหลังให้แม่ของเขา มันอาจจะฟังเป็นเรื่องแต่งไปหน่อย บางทีเขาอาจจะแค่อยากอัดเพลง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร มันก็คุ้มกับเงิน 3.98 เหรียญ
เพรสลีย์ เลือกที่จะอัดสองเพลง นั่นคือ "My Happiness" และ"That's When Your Heartaches Begin" สิ่งน่าสนใจในเพลง ที่เอลวิส เลือกร้องก็คือ ขณะนั้น แซม ฟิลลิปส์ เจ้าของร้านและเจ้าของบริษัทแผ่นเสียง “SUN . กำลังหาหนุ่มผิวขาวร้องเพลง R & B และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเอลวิส
อย่างไรก็ดี แซม ฟิลลิปส์ไม่ได้ประทับใจเมื่อ เอลวิสลองร้องเพลงอีกทีในปี 2497 เขาอัดเพลง "Careless Love" และ "I'll Never Stand In Your Way"( บางคนบอกว่าเป็นเพลง "Casual Love Affair, แต่ว่าเว็บไซต์ the Sun บอกว่า "Careless Love" )
เอลวิสเข้าสังกัด Sun Records และฟอร์มวง "Million Dollar Quartet" วงดนตรีสี่คน ประกอบไปด้วย Jerry Lee Lewis, Carl Perkins, Johnny Cash และ Presley พอถึงปี 2498 เอลวิสก็ได้อัดเพลง 5 เพลง ให้กับ Sun Records และเริ่มดังในแถบทางใต้ เขาต้องการผู้จัดการคนใหม่ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์ คนที่รู้จักการตลาดเป็นอย่างดี ปาร์คเกอร์ก็ได้ออกโฆษณาหวังให้วงดังกระฉ่อนไปทั่วอเมริกา
การส่งเสริมการตลาดของ "Elvis Lives” เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547โดย ELVIS LIVES – ELVIS PRESLEY ENTERPRISES UNVEILS 2005 CREATIVE CAMPAIGN Advertising, Collateral and Licensed Merchandise to Feature New Creative Concept ซึ่งเป็นบริษัทดูแลผลประโยชน์ของ เอลวิส เพรสรีย์ หลังจากเขาเสียชีวิต
ในปัจจุบัน Elvis นั้นยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลงทุกวัยนับล้านทั่วโลก พวกเขาเป็น ผู้ที่รักในเสียงเพลงของ Elvis และดูหนังเกี่ยวกับเรื่องราว ชีวติของเขา และยังคง ซื้อสินค้าที่
มีความเชื่อมโยงกับตัว Elvis เอลวิสยังเป็นชื่อที่ผู้คนรู้จัก มากที่สุดในวงการบันเทิง และยังเป็นคนที่ขายอัลบั้มได้เยอะที่สุด หนัง และสื่ออื่นๆ ที่ยังเตือนความทรงจำของแฟน นิตยสาร Forbes ได้ยกย่องให้เขาเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จและมีรายได้อยู่เรื่อยๆผู้คนว่า 6 แสนคน เข้าชม Graceland ในทุกๆ ปี
EPE จะโฆษณา "Elvis Lives" ตามป้ายโฆษณาทั้งเล็กและใหญ่ เหมือนกับทัวร์ในฤดูร้อนปี 2548 และยังมีโฆษณาสิ่งพิมพ์ในหนังสือนิตยสาร People Woman's Day Family Circle และอื่นๆ ป้ายนี้ได้รับการออกแบบโดย Billy Riley แห่ง Combustion Design ผู้ได้รับรางวัล Memphis graphic designer แผนการโฆษณาและการตลาดนั้นจัดการกันเองในบริษัท มีบริษัท Beckwith Company ดูแลเรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งในและนอกประเทศ มีหุ้นส่วนเรื่องลิขสิทธิ์และโครงการต่างๆ ช่วยประสานงาน
EPE อยู่ที่เมืองเมมฟิส และมีออฟฟิสอีกที่ในลอสแองเจลลีส เกรซแลนด์และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในเมมฟิสเช่น Heartbreak Hotel EPE ยังทำงานด้านลิขสิทธิ์ของเอลวิสทั่วโลก สินค้าที่เกี่ยข้อง การเผยแพร่ดนตรี และโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิดิโอและโครงการทางอินเตอร์เน็ต
วันที่ 16 สิงหาคม ปี 1997 เป็นวันครบรอบ 20 แห่งการจากไปของElvis Presley บริษัท Elvis Presley Enterprises และ SEG Eventsได้จัดการแสดง Elvis in Concert '97 ที่ Mid-South Coliseum ในเมือง Memphis รัฐ Tennessee งานครั้งนั้นเป็นการรวมตัวกันของนักดนตรีและนักร้องที่มีความสามารถ ผู้ที่เคยร่วมงานทั้งบนเวที และในสตูดิโอ กับ Elvis และก็มีวิดีโอของ Elvis Presley เปิดในการแสดง การแสดง ครั้งนั้นมีสมาชิกเพื่อนร่วมวง ของเขาและวงออเครสตร้า Memphis Symphony Orchestra มาเล่นดนตรีสด การจัดงานครั้งนั้นกลายมาเป็นเหมือนต้นแบบของ Elvis-The Concert คอนเสิร์ตเล็กๆได้เปิดการแสดงไปทั่วในช่วงต้นปี 1998การกลับมารวมตัวกันเพื่อการแสดงคอนเสิร์ตที่มีคอนเซ็ปเหมือน กับการแสดงในปี 1997 ถูกตั้งชื่อว่า Elvis-The 25th Anniversary Concertการแสดงนี้จัดขึ้นที่ Pyramid arena ที่เมือง Memphis เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ปี 2002 ซึ่งเป็นการแสดงที่บัตรขายหมดเกลี้ยง ในปี 2003 การออกทัวร์คอนเสิร์ต Elvis-The Concert ได้ไปเปิดการแสดงเป็นครั้งที่ 4 ที่ยุโรป มันเป็นการแสดงคอนเสิร์ตนอกบ้านที่เป็นโอกาสพิเศษให้แฟนๆได้มารวมตัวกัน

20/6/53

Sound Card

Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ถือเป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่นับวันเริ่มมีผู้ให้ความสนใจมากขึ้นทุกวัน เพราะสามารถที่จะสรรค์สร้างพลังเสียงออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทุกวันนี้การผลิต Sound Card ซาวนด์การ์ด ออกมาให้เราได้ใช้นั้น ล้วนแต่เป็น Sound Card ที่มีคุณภาพที่ดีทั้งสิ้น แต่ก็มีความแตกต่างทางด้านใช้งานพอสมควร ดังนั้นในการเลือกซื้อ ซาวนด์การ์ด นั้น ควรจะต้องดูที่ความต้องการของคุณเป็นหลักครับ
ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีต ท่านคงจะทราบถึงการพัฒนาการของ Sound Card ซึ่งเมื่อก่อนในการผลิต Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ออกมาใช้งาน ซาวนด์การ์ด จะมีการผลิตที่ใช้กับสล็อตแบบ ISA ถ้าดูโดยรวมแล้วในการส่งข้อมูลของการ์ดแบบนี้มีการส่งข้อมูลค่อนข้างช้า และขนาดของการ์ดยังมีขนาดที่ใหญ่มาก ซึ่งออกจะใหญ่เทอะทะด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังเป็น Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ที่ดึงความสามารถของคอมพิวเตอร์ของท่าน ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านมีการทำงานที่ช้าลง รวมทั้งเสียงที่ได้จากการ์ดแบบนี้ยังมีคุณภาพของเสียงต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผู้คิดค้นการ์ดแบบ ISA นี้
คงผลิตมาเพื่อใช้กับการใช้ร่วมกับคาราโอเกะ หรือการฟังเพลงเล็กๆน้อย แต่ก็นับเป็น Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนั้น
นอกจากจะมีผลิต Sound Card แบบ PCI ออกมาใช้งานอย่างกว้างขวางในปัจจุบันแล้ว ซึ่งท่านคงจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ใช้ ซาวนด์การ์ด แบบ PCI นี้ แต่ก็มีอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่ใช้ Sound Card แบบ PCI เนื่องจากยังมีราคาที่สูงอยู่ ซึ่งคนพวกนี้จะหันไปใช้ซาวนด์แบบ Onboard แทน โดยซาวนด์แบบนี้ไม่ใช่เป็นซาวนด์แบบการ์ดที่เราเห็นกัน แต่เป็นเพียงชิปตัวหนึ่งซึ่งอยู่บนเมนบอร์ดของเราที่ทำหน้าที่สร้างเสียงออกมา แต่คุณภาพยังไม่สูงมากเท่ากับ ซาวนด์การ์ด แบบ PCI สามารถที่จะใช้เพื่อเล่นเกม ดูหนัง เล็กๆน้อยๆได้ดีเลยทีเดียว การที่ซื้อ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) แบบ PCI มาใช้งาน ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านจะได้สัมผัสพลังเสียงที่สุดยอดของ ซาวนด์การ์ด (Soun
d Card) แบบนี้ ซึ่งเป็นเสียงที่ทุกคนอยากรับฟังแน่นอนเรามาดูการพัฒนาการของ Sound Card แบบ PCI กันบ้าง การผลิตและพัฒนาของ ซาวนด์การ์ด แบบนี้ จากแต่ก่อนได้มีการผลิตที่สามารถรองรับการทำงานได้ถึง 2 แชนแนล โดยในขณะนั้นถือว่าเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมาก สามารถที่จะสร้างเสียงออกมาได้อย่างไพเราะ สามารถที่จะใช้ร่วมกับลำโพงจำนวน 2 ตัวได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง Sound Card Creative SB Vibra 128 ที่โด่งดังมากเมื่อก่อน ซึ่งมีราคาอยู่ประมาณ 1,000 บาท ถือว่ายังเป็นราคาที่แพงอยู่ในขณะนั้น จากนั้นมาก็ได้มีการพัฒนาประสิทธิการใช้ของ ซาวนด์การ์ด ขึ้นเรื่อยๆ จาก Sound Card ที่เป็นแบบ 2.1 แชนแนล พัฒนาเป็น ซาวนด์การ์ด ที่สนับสนุนการทำงานแบบ 4.1 แชนแนล, 5.1 แชนแนล และแบบ 6.1 แชนแนล โดยได้พัฒนาควบคู่กับการพัฒนาของลำโพงแบบต่างๆ ที่สนับสนุนการใช้งานร่วมกับ Sound Card นี้ จนมาถึงวันที่ทุกคนรอคอย ล่าสุดก็ได้มีการผลิต ซาวนด์การ์ด แบบ 7.1 แชนแนลออกมา ถือว่าเป็นสุดยอด Sound Card อยู่ในขณะนี้ นับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างความฮือฮามากที่สุดในขณะนี้ก็ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่ชอบเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจ หรือแม้กระทั่งนักดนตรีต่างๆ ต่างก็คงรอคอย ซาวนด์การ์ด




ชนิดของ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ถ้าเราจะแบ่งชนิดของ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) นั้น เราสามารถที่จะแบ่ง Sound Card ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ โดยนับจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้ดังต่อไปนี้






1.Sound Card (ซาวนด์การ์ด) แบบ ISA Sound Card (ซาวนด์การ์ด) แบบนี้เป็น ซาวนด์การ์ด ที่ผลิตออกมานานแล้ว โดย ซาวนด์การ์ด แบบนี้จะใช้ร่วมกับเมนบอร์ดรุ่นเก่าที่มีสล็อต ISA นี้ติดมาด้วย ถ้ามองกันในเรื่องของระบบเสียงแล้ว ยังไม่สามารถให้เสียงที่มีคุณภาพออกมาได้ แต่ก็ถือว่าเป็น Sound Card ที่โดดเด่นมากในสมัยนั้น แต่ในปัจจุบัน Sound Card แบบนี้ไม่มีให้เห็นกันแล้ว







2. Sound Card (ซาวนด์การ์ด) แบบ PCI โดย ซาวนด์การ์ด แบบนี้ถือว่าเป็น Sound Card ที่มีให้เห็นกันมากทั่วไปตามตลาดไอทีในบ้านเรา ซึ่งไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็คงจะเห็น ซาวนด์การ์ด แบบนี้วางขายอยู่อย่างมากมาย อีกทั้งยังสามารถสังเคราะห์เสียงออกมาได้อย่างมีคุณภาพ ทำให้ Sound Card แบบนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งก็มีให้เลือกใช้ตามอัธยาศัย








3. Sound Card (ซาวนด์การ์ด) แบบ External จริงๆ แล้วเขาแบ่ง Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ออกได้เป็น 2 ประเภท แต่ที่จัด Sound Card แบบ External ออกเป็นประเภทที่ 3 ก็เพราะว่าซาวนด์แบบนี้เริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้นแล้ว อีกทั้งยังมีการติดตั้งที่แตกต่างจาก ซาวนด์การ์ด (Sound Card) ที่บอกมาข้างต้นด้วย โดยสามารถที่จะติดตั้งโดยผ่านทางพอร์ต USB ทำให้ในการใช้งานนั้นสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น




•พอร์ตต่างๆ ที่มักพบบน Sound Card (ซาวนด์การ์ด) 1. ช่องต่อกับลำโพง ซึ่งมาพร้อมกับส่วนขยายสัญญาณ ( Amplified Speakers ) 2. ช่อง Line-In ซึ่งเป็นช่องรับสัญญาณเข้าที่เป็นแอนะล็อก ซึ่งอาจจะเป็นช่องรับสัญญาณข้อมูลเสียงจากไมโครโฟน เครื่องเล่นซีดีหรือเครื่องเล่นเทป ฯลฯ 3. ช่อง Line-Out ซึ่งเป็นช่องที่ส่งสัญญาณแอนะล็อกออกไปยังอุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ 4. ช่องต่อ Digital-In ซึ่งตามปกติพอร์ตนี้ จะติดตอยู่กับตัวการ์ดเลย ซึ่งช่องสัญญาณดังกล่าวจะใช้รับสัญญาณดิจิตอล ที่เห็นส่วนมากคือจะใช้ต่อเข้ากับเครื่อง CD-ROM ของเครื่องคอมพิวเตอร์ 5. ช่องต่อ Digital-Out ช่องนี้จะใช้สำหรับส่งสัญญาณดิจิตอลออกไปสู่อุปกรณ์หรือสื่อบันทึกข้อมูลแบบต่างๆ
•6. ช่องต่อ HeadPhone หรือช่องต่อหูฟังจำนวนของพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ที่ได้บอกมาข้างต้นนี้ จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) นั้นๆ ยิ่ง Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ที่มีการทำงานในแบบหลายแชนแนล ไม่ว่าจะเป็นแบบ 4.1, 5.1, 6.1 หรือ 7.1 แชนแนล ถ้าพอร์ตที่ได้บอกมานี้มีมากเท่าไร ก็จะทำให้ในการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ สามารถทำได้หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น และยิ่ง Sound Card (ซาวนด์การ์ด) รุ่นใหม่ๆ ที่เราเห็นนั้น ได้ผลิตพอร์ตเชื่อมต่อที่แปลกใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ เช่น พอร์ต Optical In, พอร์ต Optical Out, พอร์ต MIDI (In-Out) ทำให้ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) นั้นๆ มีความสามารถที่มากยิ่งขึ้น




บทสรุปจากที่ได้ทราบรายละเอียดและความสามารถของ Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ไปแล้ว คงทำให้ท่านทราบว่า Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ในแต่ละแบบนั้นมีความสามารถที่แตกต่างกันอย่างไร อีกทั้งยังสามารถสรรค์สร้างพลังเสียงที่มีความแตกต่างกันด้วย สำหรับท่านที่กำลังหา Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ดีดีสักตัวไว้ใช้งานแล้วหละก็ เมื่อท่านศึกษารายละเอียดต่างๆที่ได้บอกมาข้างต้นแล้ว คงทำให้ท่านสามารถที่จะตัดสินใจเลือกซื้อเลือกหา Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ที่เหมาะกับความต้องการของท่านได้อย่างไม่